บทวิเคราะห์สถานการณ์ยางธรรมชาติประจำเดือนสิงหาคม 2557

ตลาดยาง

ศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2557

       ราคายางลดลง เนื่องจากตลาดซบเซา กอปรกับไม่มีข่าวที่เป็นปัจจัยหนุน ราคายางในอินเดียลดลงสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง เนื่องจากอุปสงค์เบาบาง ในขณะที่เวียดนามรายงานว่า รายได้จากการส่งออกยางลดลง 32 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เป็น 832 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากจีนซื้อยางลดลง

ศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2557

       ราคายางยังคงตกต่ำ เนื่องจากไม่มีข่าวดีเข้ามา มีการขายเก็งกำไร ทำให้ราคาล่วงหน้าตลาดสิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ และโตเกียวกลับลดลงไปอีก มีข่าวว่า Halycon Agri บริษัทสัญชาติสิงคโปร์กำลังจะซื้อ New Continent Enterprise เพื่อขยายเครือข่ายกระจายสินค้าในจีนและยุโรป ส่วนทางฝั่งอแฟริกา ไลบีเรียชะลอการส่งออกเนื่องจากมีการระบาดของอีโบลา เวียดนามส่งออกยางในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 8.9 เปอร์เซ็นต์จากเดือนมิถุนายน เป็น 102,099 ตัน โดยรวมแล้ว การส่งออกใน 7 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 10.3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 449,560 ตัน

ศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2557

      ราคายางปิดบวกเล็กน้อย เมื่อเทียบกับศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการซื้อ มีข่าวลือว่ารัฐบาลไทยจะขายสต็อกยาง 2 แสนตัน นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า เงินเยนอ่อนค่าลง และตลาดหุ้นคึกคักขึ้น ทำให้มีการซื้อยางในตลาดญี่ปุ่นมากพอสมควร ทางฝั่งอินโดนีเซีย ธนาคาร Mandiri เพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมยาง จาก 6.9 ล้านล้านรูเปีย เป็น 7.3 ล้านล้านรูเปีย

      การผลิต การใช้ การนำเข้า และการส่งออก

       IRSG รายงานว่า อุปทานยางส่วนเกินของโลกจะหดตัว 50 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ผลผลิตจะสูงกว่าอุปสงค์ 202,000 ตันในปี 2558 เทียบกับ 371,000 ตันในปีนี้ และ 650,000 ตันในปีก่อน ในขณะที่ The Rubber Economist Ltd. คาดการณ์ว่า สต็อกยางจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.33 ล้านตันในปี 2558 ซึ่งสูงกว่าปี 2557 15 เปอร์เซ็นต์ ที่ 3.79 ล้านตัน และสูงกว่าปี 2556 50 เปอร์เซ็นต์

       คณะกรรมการยางอินเดีย รายงานว่า อินเดียนำเข้ายางธรรมชาติเพิ่มขึ้น 14.8 เปอร์เซ็นต์ yoy เป็น 36,997 ตันในเดือนกรกฎาคม การใช้ยางเพิ่มขึ้น 5.5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 88,000 ตัน โดยผู้ผลิตยางล้อเร่งซื้อยางจากต่างประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

       กรมสถิติ เวียดนาม คาดการณ์ว่า เวียดนามจะส่งออกยางทั้งสิ้นในปีนี้ ลดลง  7 เปอร์เซ็นต์ และจะหาตลาดอื่นๆ นอกจากจีน และจะเพิ่มการใช้ในประเทศให้มีสัดส่วนมากขึ้น สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ANRPC) คาดการร์ว่า ผลผลิตยางของเวียดนามจะเพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ เป็น 970,000 ตันในปีนี้ ในส่วนของผู้ซื้อหลัก ได้แก่ จีน ผลผลิตยางในจีนจะเพิ่มขึ้น 6.3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 910,000 ตันในปีนี้ การนำเข้าอาจจะขยายตัว 11 เปอร์เซ็นต์ เป็น 4.26 ตัน ชะลอตัวจาก 14 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อน

      ยางล้อ

      Cooper Tire Rubber Co. รายงานว่า กำไรในไตรมาส 2/2557 เพิ่มขึ้น 7.6 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากยอดขายสูงขึ้น กอปรกับราคาวัตถุดิบลดลง ยอดขายภาคการผลิตยางล้อลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ เป็น 327 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้ยอดขายในเอเชียและยุโรปตะวันตกเพิ่มขึ้น แต่ลดลงในรัสเซียและยุโรปตะวันออก ในขณะที่ยอดขายภาคการผลิตยางล้อในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 639 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบลดลงเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสดังกล่าว

      มิเชอลินรายงานว่า รายได้สุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 23.1 แต่ยอดขายลดลง 4.8 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลง มิเชอลินคาดการณ์ว่าอุปสงค์ยางล้อในจีน จะยังคงเป็นปัจจัยหนุน อย่างไรก็ตาม ยอกขายยางล้อสำหรับงานเกษตรและรถตักดิน ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากความต้องการยางล้อลดลงในภาคเหมืองแร่ ยอดขายยางล้อรถบรรทุกลดลง 6.2 เปอร์เซ็นต์

       เนื่องจากเงินวอนแข็งค่าขึ้น และการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น ทำให้รายได้ผู้ผลิตยางล้อลดลง ในช่วงไตรมาส 2/2557 โดย Hankook Tire รายงานว่า รายได้ลดลง 11.2 เปอร์เซ็นต์ และกำไรดำเนินการลดลง 7.4 เปอร์เซ็นต์ Kumho Tire มีรายได้ลดลง 10.5 เปอร์เซ็นต์ แต่กำไรดำเนินการเพิ่มขึ้น 9.1 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ Nexen Tire มีรายได้ลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ แต่กำไรดำเนินการเพิ่มขึ้น 6.4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลง โดยนักวิเคราะห์ในเกาหลี รายงานว่า ราคายางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ในไตรมาสดังกล่าว ลดลง 22 เปอร์เซ็นต์ และ 10.9 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ

      กูดเยียร์รายงานว่า ยอดขายทั่วโลก ในไตรมาส 2/2557 เพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ แต่รายได้ลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากราคายางล้อลดลง อย่างไรก็ตาม ยอดขายในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 300,000 หน่วย yoy ในช่วงครึ่งแรกของปี และ 500,000 หน่วย yoy ในช่วงไตรมาสที่ 2

      บริจสโตนรายงานว่า ยอดขายเพิ่มขึ้น 2.6 เปอร์เซ็นต์รายได้ดำเนินการและรายได้สุทธิ เพิ่มขึ้น 17.2 เปอร์เซ็นต์ และ 21.5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 2.12 พันล้านดอลลาร์ และ 1.39 พันล้านดอลลาร์ ตามลำดับ เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนดีขึ้น โดยราคาวัตถุดิบลดลง คิดเป็น 380 ล้านดอลลาร์ในรายได้ และอัตราแลกเปลี่ยนดีขึ้น คิดเป็น 185 ล้านดอลลาร์ในผลกำไร

      ยานยนต์

      สมาคมผู้ผลิตยานยนต์อินเดีย รานงานว่า ยอดขายรถยนต์เติบโต 5 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายรถยนต์นั่งโดยรวม เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกรกฎาคม โดยเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากบริษัทรถยนต์เสนอส่วนลด และผู้ซื้อรถยนต์ในอินเดียมีความมั่นใจในรัฐบาลชุดใหม่ กอปรกับมีการลดภาษีรถยนต์ สมาคมฯ คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ทั้งสิ้นในปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 8-10 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ยอดขายรถบรรทุกและรถโดยสารลดลง 14 เปอร์เซ็นต์ yoy เป็น 47,765 คัน และยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้  เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า

      สมาคมรถยนต์นั่งจีน รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ รถอเนกประสงค์ และรถแข่ง ไต่ระดับเพิ่มขึ้น 11.5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 1.32 ล้านคันในเดือนกรกฎาคม ลดลงจากเดือนมิถุนายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ yoy เนื่องจากฤดูร้อน และฟุตบอลโลก ทำให้ผู้ซื้อเข้าชมรถยนต์ลดลง

       ยอดขายยานพาหนะเบาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ yoy เป็น 1.44 ล้านคัน ในเดือนกรกฎาคม และยอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ 16.5 ล้านคัน จาก 15.8 ล้านคันในปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ธนาคารต่างๆ เสนอสินเชื่อรถยนต์ดอกเบี้ยต่ำ และขยายเวลาผ่อนยาวขึ้น ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ อัตราการจ้างงานสูงขึ้น ความมั่นใจผู้ซื้อรถสูงขึ้น ตลาดที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัว

       Scotiabank ประเทศแคนาดา รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากการสร้างงานสร้างรายได้ และกิจกรรมทางอุตสาหกรรมแข็งแกร่งขึ้น กอปรกับความมั่นใจผู้บริโภคสูงขึ้น และสถานะทางการเงินของโลกปรับตัวในทิศทางบวก โดยจีนจะเป็นผู้ผลักดันหลักในตลาดรถยนต์โลก

      ยอดขายรถยนต์ในยุโรปตะวันตก เติบโต 5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกรกฎาคม เป็นจำนวนกว่า 1 ล้านคัน ทำให้ยอดขายใน 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.4 ล้านคัน จาก 7 ล้านคันในปีก่อน คาดว่ายอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ 12.2 ล้านคัน จาก 11.5 ล้านคันในปีก่อน ยอดขายในเยอรมนีเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ สเปนเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 11 เดือน และอิตาลีเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ฝรั่งเศสลดลง 4 เปอร์เซ็นต์