ไทย
อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ของโลก โดยปี 2559
ผลผลิตยางธรรมชาติโลก 12.4 ล้านตัน เป็นผลผลิตยางไทย 4.47 ล้านตัน(36 %) อินโดนีเซีย 3.21 ล้านตัน(25 %) และมาเลเซีย
673,500 ตัน(5 %) ผลผลิตทั้ง 3
ประเทศคิดเป็น 67 % ของผลผลิตยางโลก
ปัญหาสำคัญคือราคายางมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจโลก
และบ่อยครั้งที่ราคายางพาราตกต่ำมาก ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อน
ขณะเดียวกันในบางช่วงราคายางสูงเกินไป ทำให้ผู้ใช้ยางได้รับความเดือดร้อน
ผู้ผลิตและผู้ใช้ยางทั่วโลก
ได้หารือกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้จัดตั้งองค์กรยางระหว่างประเทศ หรือ INRO ขึ้นในปี 2523 และได้ยุติบทบาทลงในปี 2542
เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตและผู้ใช้ยางมีทัศนะแตกต่างกันเกี่ยวกับราคายางขั้นต่ำ
ต่อมาในปี 2544 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ได้ร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ และทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยได้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมบาหลี(Bali Declaration 2001)
เพื่อการจัดตั้งสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber
Council: ITRC) และในปี 2546
ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (International Rubber
Consortium Limited: IRCo) โดยนายกสมาคมยางพาราไทยได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสภาไตรภาคียางฯ
และกรรมการ บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด
สภาไตรภาคียางระหว่างประเทศจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีปีละหนึ่งครั้ง
โดยในปี 2560 รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุมสภาไตรภาคียางฯ ระดับรัฐมนตรี
ในวันที่ 15 กันยายน 2560 ณ โรงแรม แชงกรีล่า
กรุงเทพฯ โดยมีพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นประธานการประชุม ในการนี้นายบัณฑิต เกิดวงศ์บัณฑิต เลขาธิการสมาคมยางพาราไทย
นายศุภเดช อ่องสกุล รองเลขาธิการสมาคมฯ และนางสาวปิยภรณ์ แซ่ลิ่ม ผู้จัดการสมาคมฯ
เข้าร่วมประชุม มีประเด็นสำคัญได้แก่ 1) การเพิ่มปริมาณการใช้ยางในแต่ละประเทศสมาชิก
ITRC
ให้มากขึ้นปีละ 10 %
โดยให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านยางพารา 2) การจัดตั้งตลาดยางระดับภูมิภาค(Regional
Rubber Market : RRM) ทั้งสามประเทศเห็นชอบร่วมกันในการพัฒนาตลาด RRM
เป็นตลาดล่วงหน้า (Futures Market) และขอให้แต่ละประเทศสมาชิก
ITRC เชิญชวนผู้ซื้อและผู้ขายเข้าร่วมในตลาดมากขึ้น 3) มาตรการจัดการอุปทาน(SMS) ทั้งสามประเทศเห็นว่าเป็นมาตรการระยะยาวในการสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
และจะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในการจัดการอุปทาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคายางและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมยาง
4) มาตรการจำกัดการส่งออก (AETS) เป็นมาตรการระยะสั้นที่ทั้งสามประเทศจะติดตามสถานการณ์ราคายางอย่างใกล้ชิด
หากราคายางปรับตัวลดลงจะมีการหารืออย่างเร่งด่วนเพื่อนำมาตรการ AETS มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ
5) การเชิญชวนประเทศเวียดนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาไตรภาคียางฯ
ทั้งสามประเทศมีความเห็นร่วมกันในการรับประเทศเวียดนามเป็นสมาชิกสมทบ
เนื่องจากเป็นประเทศที่มีผลผลิตสูงและมีบทบาทสำคัญ และ 6) กำหนดการประชุมสภาไตรภาคียางฯ
ระดับรัฐมนตรีครั้งต่อไปในปี 2561 ณ ประเทศมาเลเซีย
โดยสรุป ความร่วมมืออย่างเข้มแข็งด้านยางพาราระหว่างไทย
อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคายาง
และมีส่วนช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป