การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกหรือที่เรียกกันว่า
“ภาวะโลกร้อน” เป็นสถานการณ์ปัญหาที่สำคัญระดับโลก ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิอากาศและระบบนิเวศไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก
เป็นภัยคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะภาคการเกษตร
ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
ภาวะโลกร้อนเกิดจากความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้น
เป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ปัจจุบันอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 0.8
องศาเซลเซียส นับจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
แต่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงในรูปของภัยธรรมชาติต่าง ๆ ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง
และวาตภัย ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สำหรับประเทศไทย ปี 2543
สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานคิดเป็นร้อยละ 70 ภาคการเกษตรร้อยละ
22.6 และส่วนที่เหลือเป็นการปล่อยจากกระบวนการอุตสาหกรรม ของเสีย และการใช้ที่ดินและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก
กล่าวคือ ประเทศไทยต้องเผชิญและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฤดูกาล
การเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบและการแพร่กระจายของเชื้อโรคและพาหะนำโรค
นำมาซึ่งการเกิดโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เป็นต้น ทั้งนี้
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศเกษตรกรรมและมีรูปแบบการพัฒนาที่ต้องพึ่งพิงความอุดมสมบูรณ์ของฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
ภาวะโลกร้อนจึงนับเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ในส่วนของยางพารา
การปลูกยางพาราเป็นหนึ่งทางออกที่สามารถช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้
นอกจากจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรแล้ว
ยังเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ป่าสีเขียว
ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับโลก ทั้งยังช่วยอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ลดการทำลายป่า
ลดปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และที่สำคัญยางพารายังเป็นแหล่งดูดซับหรือเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แหล่งใหญ่ของโลกได้ใกล้เคียงกับป่าเขตร้อน
ข้อมูลจากการทดลอง ณ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างปี
2557-2558 พบว่า สวนยางอายุ 22 ปี มีอัตราการแลกเปลี่ยนคาร์บอนสุทธิที่ -6,496.24 kg CO2 rai-1 หมายความว่า
คาร์บอนฟุตปริ้นต่อพื้นที่ของสวนยางอายุ 22 ปี มีค่าคาร์บอนฟุตปริ้นต์เท่ากับ
-6,496.24 kg CO2 rai-1
มีอัตราการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือผิวดินสูงสุดในช่วงฤดูฝนและต่ำสุดในช่วงฤดูแล้งที่ 9.917-10.045 ton CO2
rai-1 year-1 และคำนวณเป็นอัตราการสะสมคาร์บอนจากผิวดิน 2.704-2.739 ton CO2 rai-1 year-1 กล่าวได้ว่า
ต้นยางพาราสามารถตรึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้ามาไว้ในต้นและราก
รวมทั้งช่วยเพิ่มคาร์บอนสะสมในดินจากการร่วงของใบ กิ่ง ต้น ผล
และการสลายของราก จึงช่วยลดคาร์บอนในอากาศ
ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ จึงถือว่ายางธรรมชาติเป็น Green product นอกจากนี้ยังพบว่าระบบนิเวศยางพาราในสวนยางมีสถานะเป็น Carbon sink
หรือ แหล่งกักเก็บคาร์บอน
เนื่องจากต้นยางพาราสามารถดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
และเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นชีวมวลสะสมอยู่ในระบบนิเวศยางพารา
สมาคมยางพาราไทยเล็งเห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของยางพาราในการลดภาวะโลกร้อนอย่างสอดคล้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรและยังส่งผลถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต