สมาคมยางพาราไทย
มีบทบาทสำคัญประการหนึ่งในกลุ่มสมาคมการค้าของภูมิภาคอาเซียน คือการเป็นประธานและสมาชิกสภาธุรกิจยางอาเซียน
ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสมาคมยาง 6 ประเทศได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย
มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามและกัมพูชา และมีกิจกรรมการประชุมอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุด นายศุภเดช อ่องสกุล รองเลขาธิการสมาคมยางพาราไทย นางสาวปิยภรณ์ แซ่ลิ่ม
ผู้จัดการสมาคมฯ และนายประสิทธิ์ เพชรหนูเสด เจ้าหน้าที่สมาคมฯ
ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจและสถิติ ของสภาธุรกิจยางอาเซียน ครั้งที่ 21 ในวันที่ 6 ตุลาคม 2561 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย
ที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจและสถิติ
สภาธุรกิจยางอาเซียนได้แลกเปลี่ยนมุมมองตลาดยางพาราและแนวโน้มตลาดยางพาราในระยะสั้น
เพื่อให้เข้าใจปัญหาและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ประชุมได้หารือในประเด็นสำคัญดังนี้
ราคายางพาราเฉลี่ยอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50
บาทต่อกิโลกรัมมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้
มีสาเหตุจากผลผลิตสะสมปริมาณมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้มีสต็อกยางปริมาณมากในประเทศผู้ซื้อหลัก นั่นคือ ประเทศจีน
สวนทางกับความต้องการยางพาราที่ปรับตัวลดลงในประเทศจีน
อันเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราถดถอยที่ 6.6
เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ (ลดลงจากอัตรา 6.9 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อน)
และ 6.4 ในปีหน้า
ท่ามกลางภาวะความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้
นักลงทุนจึงชะลอการซื้อและรอดูสถานการณ์ต่างๆ จนกว่าจะตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้
ราคายางยังได้รับผลกระทบจากการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้
และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง เนื่องจากเงินเฟ้อและปัญหาด้านค่าเงิน
อย่างไรก็ตาม
ยังคงมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำมากนัก
ปัจจัยแรกคือการที่ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่มีการผลิตและส่งออกยางพาราในอัตราเติบโตลดลง
โดยสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติเปิดเผยว่า ปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติของโลกในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 3.7 เปอร์เซ็นต์
น้อยกว่าปริมาณการใช้ที่เติบโต 5.2 เปอร์เซ็นต์
ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนยาง 786,000 ตัน
มีสาเหตุจากปัจจัยด้านราคายางตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรกรีดยางลดลง
กอปรกับสภาวะอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิต หากสถานการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ
คาดว่าราคายางจะปรับตัวดีขึ้น
ปัจจัยที่สองคือความต้องการยางพาราในจีนและอินเดียยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ยางล้อ และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ จะเห็นได้ว่า
กลไกราคายางพารานั้นขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลกเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม
ปัจจัยภายในแต่ละประเทศก็มีส่วนสำคัญในการพยุงราคายาง
ทั้งการควบคุมปริมาณการผลิตตามความเหมาะสม การเพิ่มปริมาณการใช้ในประเทศ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นผลิตภัณฑ์ยาง
สุดท้ายนี้
สมาชิกสภาธุรกิจยางอาเซียนยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดยางพารา
ถึงแม้ราคายางพาราจะผันผวนไปตามกลไกของตลาดโลก
หากมีการศึกษาและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
ก็จะสามารถรับมือและปรับเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ