ปัจจุบันสถานการณ์ยางพารามีแนวโน้มชะลอตัวในทิศทางเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ กอปรกับมีสต็อกยางสะสมในปริมาณมาก
สวนทางกับความต้องการใช้ยางธรรมชาติของโลกที่เติบโตในอัตราชะลอตัว
เนื่องจากประเทศพัฒนาแล้วมีนโยบายรัดเข็มขัด
ทำให้การลงทุนรวมทั้งการซื้อยานพาหนะลดลง อีกทั้งราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง
ตามแรงอุปสงค์ที่แผ่วลง โดยเฉพาะจากประเทศจีน นอกจากนี้
ยังมีปัจจัยด้านค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ยางพาราไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งจากสถานการณ์ราคายางตกต่ำดังกล่าว
สภาไตรภาคียางระหว่างประเทศได้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ
(ITRC) สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 22
กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทาง 5 ข้อในการแก้ไขปัญหาราคายาง
คือ 1) มาตรการจำกัดการส่งออกของ 3
ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) รวมจำนวน 200,000-300,000 ตัน 2) เพิ่มปริมาณการใช้ยางใน 3 ประเทศ 3) ลดพื้นที่การปลูกยาง
เพื่อปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนใน 3 ประเทศ 4) จัดตั้งตลาดยางภูมิภาค เพื่อซื้อขายยางในตลาดซื้อขายจริง และ 5) จัดตั้งสภายางแห่งอาเซียน (ASEAN Rubber Council)
สมาคมยางพาราไทยสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศ
(Demand Promotion Scheme) ส่งเสริมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้มากขึ้นจากการใช้ยางปัจจุบันที่
14 % โดยภาครัฐควรส่งเสริมภาคเอกชนในการลงทุนด้านผลิตภัณฑ์ยางอย่างจริงจัง
และการควบคุมปริมาณการผลิต (Supply Management Scheme) โดยอาศัยข้อมูลขนาดใหญ่
(Big Data) และเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีความโปร่งใสเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนมาตรการจำกัดการส่งออก
สมาคมฯ เห็นว่าควรทบทวนการดำเนินการอย่างรอบคอบ
เนื่องจากมาตรการจำกัดการส่งออกจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทย
และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทย
เป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และลดความเชื่อมั่นของคู่ค้า
ทำให้คู่ค้าหันไปซื้อประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ยังส่งผลให้สต็อกยางภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่เป็นผลดีต่อเกษตรกร
สมาคมฯ
เห็นว่ามาตรการจำกัดการส่งออกไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและไม่เป็นการส่งเสริมเสถียรภาพราคายางอย่างยั่งยืน
โดยสรุป ความร่วมมืออย่างเข้มแข็งด้านยางพาราระหว่างไทย อินโดนีเซีย
และมาเลเซีย มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคายาง
และมีส่วนช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา
โดยมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ รวมทั้งก่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทาน