ปัจจุบันทวีปแอฟริกาเป็นตลาดใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ส่งออกและ
นักลงทุนต่างชาติ เนื่องด้วยเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดหลัก อาทิ
สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
ทำให้ผู้ส่งออกเริ่มหันไปหาตลาดใหม่อย่างทวีปแอฟริกา
ซึ่งมีศักยภาพและเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับสองรองจากทวีปเอเชีย ประกอบด้วย 54
ประเทศ ประชากรมากกว่า 1,000 ล้านคน (ข้อมูลปีพ.ศ. 2552)
อีกทั้งยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิดทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
และสินแร่ต่างๆ แต่แอฟริกากลับเป็นทวีปที่ยากจนและด้อยพัฒนา
ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่น การระบาดของโรคร้ายแรง
รัฐบาลคอร์รัปชันและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ระดับการรู้หนังสือที่ต่ำ
การขาดแคลนเงินทุนต่างชาติ และความขัดแย้งระหว่างชนชาติ
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยของทวีปแอฟริกาใน
ปี 2557 เป็น 5.9 % โดยปี 2555 แอฟริกาผลิตยางธรรมชาติปริมาณ 490,600 ตัน
ส่งออก 478,300 ตัน ความต้องการใช้ยางธรรมชาติจาก 3
ประเทศสำคัญในทวีปแอฟริกาได้แก่อียิปต์ ไนจีเรีย และแอฟริกาใต้ รวม 84,000
ตัน(องค์กรศึกษายางระหว่างประเทศ) ทวีปแอฟริกานำเข้ายางพาราปริมาณ 71,500
ตัน โดยนำเข้าจากไทยปริมาณ 15,914 ตัน มูลค่า 1,501.83
ล้านบาท(กรมศุลกากร)
อย่างไรก็ตามตลาดแอฟริกายังเป็นที่รู้จักน้อย เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง
แต่มีโอกาสมาก ดังนั้นการขยายตลาดยางแอฟริกา ควรมียุทธศาสตร์สำคัญดังนี้
1.
ภาครัฐควรศึกษาตลาดเชิงลึกให้เข้าถึงข้อมูลของประเทศแอฟริกาอย่างแท้จริงและ
เผยแพร่ให้กับธุรกิจไทย 2.
ภาครัฐควรสร้างและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสนับสนุนการสร้างเครือ
ข่ายธุรกิจ และ3.องค์กรการค้าภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าไทย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงสมาคมการค้าต่าง ๆ
ควรจะต้องมีการร่วมมือประสานงานกัน
โดยมีการจับคู่ธุรกิจทั้งภายในและภายนอก
พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำการค้ากับคู่ค้าในต่าง
ประเทศ รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่พบในการทำธุรกิจ
และมีการจัดทำรายชื่อ
บริษัทคู่ค้าที่มีพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสำหรับผู้ประกอบการแต่ละราย
รวมทั้งควรมีการรวมกลุ่มนักธุรกิจในการเจรจาทางการค้า
เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน
ตามข้อมูลที่ได้เรียนมา
ประมวลได้ว่าทวีปแอฟริกาเป็นตลาดยางธรรมชาติและอุตสาหกรรมยางที่สำคัญและมี
แนวโน้มของความสำคัญสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งภาครัฐและเอกชน
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุน
และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อทดแทนตลาดหลักโดยเร่งด่วนต่อไป