ในเดือนมีนาคมราคายางยังคงมีการปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดล่วงหน้าต่างประเทศ ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่ลดลงทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก อีกทั้งตลาดการเงินและตลาดหุ้นยังคงปั่นป่วน เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกได้มีมาตรการปิดเมืองเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านคู่ค้าทางภาคใต้ของไทย ที่ทำให้ทั้งไทยและมาเลเซียกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยเฉพาะการนำเข้า-ส่งออกยางพารา และสินค้าอื่นๆ เป็นต้น

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีคำสั่งปิดประเทศซึ่งห้ามการเดินทางไปต่างประเทศ และห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ รวมถึงปิดธุรกิจเอกชนสถานที่ราชการบางประเภท และศาสนสถาน ยกเว้นซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านชำ ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18-31 มีนาคม 2563 และได้มีการขยายระยะเวลาออกไปอีก 2 สัปดาห์ หรือถึงวันที่ 14 เมษายน 2563 หลังจากทางมาเลเซียมีคำสั่งปิดประเทศแล้ว ทำให้การผ่านเข้า-ออกด่านชายแดนได้หยุดทั้งหมด (ทั้งคนและสินค้า) จึงส่งผลกระทบทั้งไทย และมาเลเซียเป็นอย่างมาก สมาคมยางพาราไทยได้รับทราบและเล็งเห็นปัญหาของสมาชิก จึงได้ดำเนินการติดต่อประสานงาน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถานกงสุลฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงถึงปัญหาต่าง ๆ เพื่อขอผ่อนปรนเพื่อให้ดำเนินการส่งสินค้าผ่านด่านได้ปกติเช่นเดิม โดยอยู่ภายใต้มาตรการคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด (เฉพาะสินค้าและคนประจำยานพาหนะเท่านั้น) เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน และเศรษฐกิจของประเทศ

อุตสาหกรรมยางพาราได้รับผลกระทบข้างต้นเช่นเดียวกันกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องด้วยสินค้าบางประเภทไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน หรือมีการซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้ว อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากภาวะสภาพอากาศแห้งแล้งด้วย ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เปิดช่องทางการติดต่อ โดยเปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ยางพารา จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยเกษตรกร สถาบันเกษตรชาวสวนยาง ผู้ประกอบการยาง รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านยางพาราจากสถานการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์และปัญหา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องระเบียบและการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของ กยท. และเรื่องที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและ Supply Chain ยางพารา

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 นี้ มีแนวโน้มหดตัวแรงจากปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบ เนื่องด้วยการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 (COVID-19) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก โดยการท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลงมาก และในระยะข้างหน้ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 63 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. มีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.75 ต่อปี ขณะที่ 2 เสียงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ซึ่งในภาวะเช่นนี้ คณะกรรมการฯ สนับสนุนมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างตรงจุดของรัฐบาลที่ได้ประกาศไปแล้ว รวมทั้งจะต้องดำเนินการช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้

สำหรับดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.1 (-1.99%) ในเดือนมีนาคม 2563 จากระดับ 50.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และดัชนี PMI สำหรับภาคการผลิตในประเทศไทยลดลงจาก 49.5 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มาอยู่ที่ 46.7 ในเดือนมีนาคม 2563

ทางสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 27 มี.ค. 63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.8 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากโรงกลั่นลดกำลังการผลิต ตามความต้องการใช้ที่ปรับตัวลดลง ในส่วนราคาน้ำมันดิบนั้นได้รับแรงกดดันหลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ปรับเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นปีราคาน้ำมันดิบปรับลงกว่า 60% มากที่สุดและเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน อีกทั้งซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิตที่ระดับ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนเม.ย. หลังข้อตกลงลดกำลังการผลิตจะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการประกาศทำสงครามราคาน้ำมันกับรัสเซีย หลังจากที่รัสเซียไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกับข้อเสนอของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ต้องการให้ผู้ผลิตน้ำมันลดกำลังลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงสิ้นปีนี้ หลังทางรัสเซียยืนยันว่าต้องการให้ผู้ผลิตน้ำมันทำการปรับลดกำลังการผลิตตามโควตาเดิมไปจนถึงสิ้นสุด   ไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นสงครามราคาครั้งใหญ่อีกครั้งในอุตสาหกรรมน้ำมันโลก

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ไทยส่งออกยางธรรมชาติ 452,082.35 ตัน เพิ่มขึ้น 3.55 เปอร์เซ็นต์จากเดือนมกราคม 2563 เพิ่มขึ้น 1.89 เปอร์เซ็นต์ yoy สร้างมูลค่าการส่งออก 1.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น  7.84 เปอร์เซ็นต์จากเดือนมกราคม 2563 เพิ่มขึ้น 6.77 เปอร์เซ็นต์ yoy สำหรับภาคยางล้อ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ไทยส่งออกยางล้อรวมทั้งสิ้น 11.47 ล้านเส้น เพิ่มขึ้น 11.3 เปอร์เซ็นต์ yoy สร้างมูลค่าการส่งออก 1.46 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.28 เปอร์เซ็นต์ yoy